ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาสถานการณ์เป็นอย่างไร ข้อเสนอของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ในขณะที่ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราถือว่ากำลังร้อนแรง และมีแนวโนมที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายจีนที่อาศัยความได้เปรียบเรื่องของกำแพงภาษีดาหน้าเปิดตัวกันเป็นระยะ หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าแล้วตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาสถานการณ์เป็นอย่างไร จะร้อนแรงเหมือนเทรนด์ในบ้านเรา หรือมีใจเปิดรับรถยนต์ไฟฟ้ามากน้อยขนาดไหน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดรถยนต์ในอเมริกาเองก็ได้มีการวิเคราห์และให้ความเห็นกันไว้ค่อนข้างหลายหลาย ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาสถานการณ์เป็นอย่างไร ลองไปดูกันครับว่าชาวอเมริกาและรัฐบาลสหรัฐเองมีมาตรการเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไรบ้าง
ก่อนปี 2575 ตลาดรถยนต์สองในสามอาจต้องเป็นไฟฟ้า
รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการปล่อยมลพิษทางรถยนต์ในลักษณะที่ผู้ผลิตรถยนต์จะต้องขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกมาก ภายในปี 2575 รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องคิดเป็นประมาณสองในสามของรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในอเมริกา
หากไม่มีข้อกำหนดเหล่านี้ รถยนต์ไฟฟ้าคงจะเข้าถึงส่วนแบ่งตลาดประเภทนี้ในช่วงหลังปี 2578 ตามที่นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมของ Moody’s บริษัทยักษ์ใหญ่ที่วิจัยการเงินระหว่างประเทศเรื่องพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยธุรกิจและรัฐบาล ซึ่งให้ความเห็นว่าเป้าหมายที่ EPA หรือ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐวางไว้นั้นสามารถจัดการได้ แต่จะไม่ง่ายและจำเป็นต้องมีการลงทุนในระดับสูง สำหรับตอนนี้ข้อเสนอยังคงเป็นข้อเสนอเดิมและอาจเปลี่ยนแปลงได้ก่อนที่จะมีการสรุป
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาสถานการณ์เป็นอย่างไร ในทศวรรษหน้า สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จและตัวยานพาหนะเอง ผู้บริโภคจะถูกโน้มน้าวให้มีความต้องการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ดีขึ้นและราคาลดลง สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือแรงจูงใจจากรัฐบาล เช่นเดียวกับที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อฉบับใหม่ ก็จะช่วยได้เช่นกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือเกือบหนึ่งทศวรรษจากนี้ ยานพาหนะไฟฟ้าจะแตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน Chris Harto นักวิเคราะห์นโยบายด้านการขนส่งและพลังงานของ Consumer Reports ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อผู้บริโภคที่ไม่แสวงหากำไรของอเมริกา กล่าว และแม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของ EV จะเพิ่มขึ้นเป็นสองในสาม แต่ก็ไม่ใช่ว่า EV จะทำให้ถนนของอเมริกาท่วมท้นในชั่วข้ามคืน เขากล่าว เขากล่าว แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของรถยนต์บนท้องถนนในปี 2575 จะยังคงใช้น้ำมันอยู่ แต่การซื้อรถยนต์ใหม่จะแตกต่างออกไป
“เรากำลังพูดถึงความเท่าเทียมกันของต้นทุนในอดีต ดังนั้นมันจะเป็นราคาเดียวกันหรือถูกกว่า” เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เขากล่าว
ในขณะเดียวกัน ระยะการขับขี่จะเพิ่มขึ้น การชาร์จอย่างรวดเร็วจะง่ายขึ้นและเข้าถึงได้มากกว่าเดิม และที่สำคัญเจ้าของรถจะพึงพอใจกับค่าใช้จ่ายที่ลดลงอย่างมาก Harto กล่าว
Moody’s Heck คาดการณ์ว่าแบตเตอรี่ EV รุ่นต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจจะชาร์จได้ไกลขึ้น 30% และจะชาร์จเร็วขึ้น 30% ดังนั้นเมื่อรวมกับเครือข่ายการชาร์จที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งเป็นสิ่งอื่นที่สามารถคาดหวังได้ในช่วงเวลานั้น รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ขายยากสำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหารถยนต์ที่ดีที่สุดในราคาที่ดี Harto กล่าว
JD Power มองว่าส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มขึ้นสามเท่าเป็น 27% ในแคลิฟอร์เนีย
นอกจากนี้ จะมีโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายเพิ่มขึ้นภายในปี 2575 ในปัจจุบัน มี “เทียบเท่า EV” สำหรับประมาณ 40% ของโมเดลรถยนต์ใช้น้ำมันที่ชาวอเมริกันสามารถซื้อได้ ตามที่ Elizabeth Krear รองประธานฝ่ายปฏิบัติการด้านรถยนต์ไฟฟ้าของ JD Power กล่าว ส่วนแบ่งตลาดไฟฟ้าตอนนี้อยู่ที่ 8.5% ซึ่ง Krear ไม่ได้แสดงความเห็นเป็นพิเศษเกี่ยวกับโอกาสที่ EV จะครองสองในสามของตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ ภายในปี 2575
แต่ภายในปี 2569 เพียงสามปีต่อจากนี้ Krear คาดว่าจะมี “เทียบเท่า EV” สำหรับ 75% ของยานพาหนะที่ชาวอเมริกันซื้อ และส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มขึ้นสามเท่าเป็น 27% ในแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นและมีโมเดลต่างๆ ให้เลือกมากขึ้น ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะสูงถึงสองในสามก่อนปี 2575
นอกจากนี้ Corey Cantor นักวิเคราะห์จาก Bloomberg NEF ยังได้คาดการณ์ต่อจากการที่ รัฐแคลิฟอร์เนียวางแผนงานที่จะอนุญาตให้ขายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดเท่านั้นภายในปี 2578 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นแคลิฟอร์เนียควรจะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80% สำหรับรถยนต์ปลั๊กอิน รวมถึงปลั๊กอินไฮบริดภายในปี 2575 และแคลิฟอร์เนียเองเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดรถยนต์โดยรวมของสหรัฐฯ ด้วยขนาดที่แท้จริง “อิทธิพลของแคลิฟอร์เนียที่มีต่อทั้งประเทศกำลังทำให้เรื่องนี้ดำเนินไปเร็วกว่าที่จะไม่มีแคลิฟอร์เนียถึงหนึ่งปี” Cantor ยังกล่าวอีกว่าการจะเข้าถึงส่วนแบ่งตลาด EV สองในสามภายในปี 2575 นั้นยังไม่แน่ใจนัก แต่รัฐก็ควรจะจัดการได้
ปัจจัยเรื่องของแบรนด์ก็มีผลต่อการเลือกซื้อ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยเรื่องของแบรนด์ก็มีผลต่อการเลือกซื้อรถยนต์ของคนอเมริกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่ง Ivan Drury นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมของ Edmunds.com กล่าวว่าจำนวนผู้ผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นและเข้าสู่ตลาด EV ก็จะช่วยได้เช่นกัน ผู้ซื้อรถยนต์จำนวนมากมักจะภักดีต่อแบรนด์รถยนต์ที่พวกเขาชื่นชอบมาก “ไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจกระโดดลงเรือเพียงเพราะมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือมีเทคโนโลยี X-Y-Z” Drury กล่าว ” ฉันคิดว่าเมื่อคุณมีบางอย่างเช่น Toyota ซึ่งถือว่ามีฐานของผู้บริโภคที่มีความเหนียวแน่นต่อแบรนด์ ซึ่งก็แน่นอนว่า พวกเขาไม่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่นนอกจากโตโยต้า”
ปัจจุบัน Toyota นำเสนอโมเดลไฟฟ้าเพียงรุ่นเดียวในสหรัฐอเมริกา นั่นคือ BZ4X SUV แต่ยังมีการวางแผนเพิ่มเติมอีก Honda ซึ่งเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นอีกแบรนด์หนึ่งที่มีผู้ติดตามอย่างเหนียวแน่น บริษัทกำลังเร่งสร้างโรงงานในรัฐโอไฮโอเพื่อสร้างโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ฮอนด้าคาดว่าจะนำเสนอ EV ใหม่ 9 รุ่นตามการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าล่าสุด และหนึ่งในนั้นคือ e:Ny1
ส่วนเจนเนอรัล มอเตอร์ส ยังมีรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นที่จะมาในปีหน้าอีกด้วย ซึ่งจีเอ็มก็ได้มีการทดสอบความพร้อมของตลาดอเมริกาในด้านรถยนต์ไฟฟ้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้ผลิตรถยนต์รายดังกล่าวซึ่งให้คำมั่นที่จะไม่นำเสนออะไรเลยนอกจากรถยนต์โดยสารไฟฟ้าภายในปี 2578 จะเริ่มจำหน่ายรถยนต์รุ่นต่างๆ ในกลุ่มตลาดและราคาต่างๆ
กลุ่มพันธมิตรเพื่อนวัตกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่รวมผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ส่วนใหญ่ที่ดำเนินงานในประเทศ ได้โพสต์แถลงการณ์บนเว็บไซต์ของตน โดยแสดงข้อควรระวังเกี่ยวกับเป้าหมายและขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ว่าควรต้องดำเนินไปอย่างถูกต้องสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ – และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน – ในตลาดยานยนต์และฐานอุตสาหกรรมของเราให้ประสบความสำเร็จ” กลุ่มเขียนในแถลงการณ์
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์จาก Bloomberg NEFยังให้ความเห็นส่งท้ายไว้อีกว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายที่อาจช้ากว่า GM ที่จะหันมาใช้ระบบไฟฟ้าจะต้องเปลี่ยนระบบด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ เมื่อผู้บริโภคเริ่มยอมรับกับรถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้างแล้ว การลงทุนในการพัฒนาและการผลิตรถยนต์สันดาปภายในอย่างต่อเนื่องจะไม่สมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจอีกต่อไป
สำนักข่าว CNN รายงาน