ทดสอบความนุ่มสบายกับ ฮุนได เอช-วัน และ แกรนด์ สตาร์เร็กซ์

ฮุนได เอช-วัน และ แกรนด์ สตาร์เร็กซ์ ปรับใหม่เพิ่มความน่าใช้ในคอนเซ็ปท์ “The New Experience”

 ต้องยอมรับว่า รถครอบครัวขนาดใหญ่ในราคาที่จับต้องได้ หรูหรา และได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบันต้องยกให้ รถยนต์ ฮุนได รุ่นเอช-วัน รวมไปถึงตัวหรู 7 ที่นั่งอย่างแกรนด์ สตาร์เร็กซ์ ซึ่งออกแบบให้ตอบโจทก์ของผู้รักการเดินทาง ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าครบเครื่องทั้งเรื่องของความบันเทิง และความสะดวกสบายเพียบพร้อมอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เรามีโอกาสได้ทดสอบรถยนต์รุ่นใหม่ กับความเปลี่ยนแปลงใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The New Experience” หรือ “โฉมใหม่กับประสบการณ์ใหม่…ที่สมบูรณ์แบบ”

เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความน่าใช้รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ซึ่งการทดสอบในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่เราจะมีโอกาสได้ลองเป็นผู้โดยสารที่สัมผัสถึงอารมณ์ของผู้ใช้บ้าง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เรามีโอกาสได้ทดลองขับกันมาแล้ว และก็ไม่ได้สงสัยในเรื่องของพละกำลังที่สามารถนำพาเราไปได้ทุกที่ในเมืองไทย

หลายท่านทราบดีอยู่แล้วว่า ฮุนได เอช-วัน และ แกรนด์ สตาร์เร็กซ์ ใหม่ ยังคงเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย ไม่แปลกใจที่บนถนนเราจะเห็นรถยนต์รุ่นนี้วิ่งพลุกพล่านจากกระแสตอบรับลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆปี

การปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ครั้งแรกของฮุนได เอช-วัน และแกรนด์ สตาร์เร็กซ์ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ความโมเดิร์นพรีเมียมและความสะดวกสบายในการใช้งานได้เหมือนเช่นเคย โดยรถยนต์ทั้งสองรุ่น ไม่ได้เป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย สามารถรองรับไลฟ์สไตล์การเดินทางได้ทุกรูปแบบ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่รถยนต์ทั้งสองรุ่นได้มอบให้ ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน ห้องโดยสารกว้างขวาง ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้เราไปกันแบบสบายๆ สไตล์ผู้บริหาร กับการเดินทาง ใกล้กรุง การใช้ชีวิตที่มีไลฟสไตล์ที่ต้องการ หลีกหนีความวุ่นวายในเมืองกรุงไปสัมผัสชีวิตธรรมชาติริมน้ำแบบชิลล์ๆ ย่านปทุมธานี โดยงานนี้รถประจำตำแหน่งของเราก็คือ ฮุนได แกรนด์ สตาร์เร็กซ์ ใหม่ ซึ่งเป็นรถเบาะนั่งแบบ VIP 7 ที่นั่ง เริ่มออกเดินทางจากฮุนไดสำนักงานใหญ่วิภาวดี วิ่งเส้นคู่ขนาน ถนนวิภาวดีรังสิต และเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3111 ปทุมธานี มุ่งหน้าสู่จุดหมาย “Baan Ta Nid River Lodge &  Art Camp” หรือ “บ้านตานิด” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบ้านไม้แบบเรือนไทย 2 ชั้น สร้างจากไม้สักทอง หลังคาจั่ว โครงสร้างเป็นเสาไม้จำนวน 300 ต้น แต่เดิมถูกสร้างขึ้นโดยอุบาสิกาสมปอง เจริญไทยทวี และรับมรดกสืบต่อมาจนถึงทายาท จึงได้มีการตกแต่งใหม่แล้วดัดแปลงเป็นโฮมสเตย์ริมน้ำและร้านอาหาร ด้วยความที่เจ้าของบ้านมีอาชีพเป็นสถาปนิกที่รับสร้างบ้านและดูแลงานตกแต่งภายในอยู่แล้ว ก็เลยปรับปรุงบ้านหลังเก่าอายุ 70 กว่าปีหลังนี้ให้กลับมาสวยงามมีชีวิตชีวา จนได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นประจำปี 2560

บ้านตานิด

เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตแบบชิลล์ๆ ให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบริมน้ำ สัมผัสกับธรรมชาติ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจให้ทำอีกด้วย  โดยทางฮุนไดได้จัดเตรียมกิจกรรมเวิร์คช็อปไว้ให้เราได้แสดงฝีมือทางด้านศิลปะกัน ซึ่งกิจกรรมที่ทำวันนี้คือ การมัดย้อมเสื้อ โดยทุกท่านจะได้ลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ตั้งแต่การมัด ต้ม ย้อม จนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการ และได้ผลงานของตัวเองติดมือไปเป็นที่ระลึกทุกท่าน ที่บ้านตานิด หลังจากกิจกรรมมัดย้อม สื่อมวลชนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน  อิ่มอร่อยกับเมนูเด็ด รสชาติจัดจ้าน บรรยากาศริมน้ำ ชวนให้ทุกท่านอิ่มเอมและผ่อนคลายกันอย่างเต็มที่

จากนั้นเดินทางต่อไปทำบุญไหว้พระกันที่ “วัดโบสถ์” ตั้งอยู่อำเภอสามโคก ปทุมธานี สร้างเมื่อ พ.ศ  2164 โดยชาวมอญที่อพยพมาจาก เมืองหงสาวดี เดิมเป็นวัดเก่าโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อว่าวัดสร้อยนางหงษ์ กราบสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ “หลวงพ่อเหลือ” พระคู่บ้านคู่เมือง ของเมืองปทุมธานี เป็นพระพุทธรูปที่เหลือเพียงองค์เดียวในโบสถ์ที่ไม่ถูกขโมยตัดเศียรไปขาย ชาวบ้านจึงมีความศรัทธาและให้ชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า หลวงพ่อเหลือ

นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นเหมือน “หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ (สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) ปรางเทศนาธรรม ที่มีขนาดความสูงถึง 28 เมตร  และพระพุทธรูปที่มีคนกราบไหว้มากที่สุดในประเทศไทย “หลวงพ่อโสธร”  ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทองรุ่นที่ 2 แกะสลักด้วยหินทราย ลงรักปิดทองปางขัดสมาธิ

แม้อากาศในช่วงบ่ายจะค่อนข้างร้อน แต่แอร์คอนดิชั่นด้านหลังของแกรนด์สตาร์เร็ซ์ ที่เราใช้เดินทางตลอดวันเดย์ทริปนี้ ก็ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้อย่างทันใจ และทั่วถึง รวมทั้งถ้าเราย้ายไปยังตำแหน่งที่นั่งคนขับก็ยังมี ระบบระบายอากาศสำหรับที่นั่งผู้ขับขี่ สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ, พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทางพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง, ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ เรียกว่าสะดวกสบาย ขับง่ายแม้ขนาดรถจะใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำหรับเราที่วานนี้มาเป็นผู้โดยก็สารสามารถเพลิดเพลินไปกับระบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อที่ครบครัน ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าสามารถควบคุมระบบเครื่องเสียงผ่านจอความละเอียดสูงขนาด 8 นิ้ว พร้อมเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wifi  

ห้องโดยสารตอนหลังติดตั้งจอ LCD แบบคมชัดขนาด 13.3 นิ้ว ติดเพดานแบบพับไฟฟ้า ซึ่งจะมีอยู่ในรุ่น แกรนด์ สตาร์เร็กซ์ พรีเมียม และ เอช-วัน เดอลุกซ์เท่านั้น พร้อมกับติดตั้งเคาน์เตอร์บันเทิงและจอ LCD ขนาด 22 นิ้ว ปรับขึ้น-ลง ด้วยระบบไฟฟ้า ในรุ่น แกรนด์ สตาร์เร็กซ์ วีไอพี แน่นอนครับว่าเป็นรุ่นที่เรานั่งมานั่นเอง

การเดินทางที่นอกเหนือจากเรื่องของความสะดวกสบายที่มีให้เห็นกันตลอดทริปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ทำให้เราต้องกังวลกับการเดินทาง แม้การจราจรที่หนาแหน่น และเส้นทางที่คดเคี้ยว เล็กและแคบ สิ่งหนึ่งที่ฮุนได เอช วัน และแกรด์สตาร์เร็กซ์ ให้ความสำคัญก็คือเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งมีมาให้แบบครบครัน นอกเหนือจากมาตรฐานในรถยนต์ระดับหรูต้องมีแล้ว ยังมีในด้านของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวหรือว่า ESP มาให้ตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าสำหรับแกรนด์สตาร์เร็กซ์ ทว่าครั้งนี้มาเพิ่มเติมในตัว นิว เอช วันรุ่น Deluxe ด้วย

ส่งท้ายของการเดินทางกันด้วยความสนุกสนาน และสะดวกสบาย สไตล์ฮุนได ที่ครั้งนี้ได้รับรู้อรรถรสของการเดินทางแบบ VIP และบอกได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าฮุนได้ เอชวัน และแกรนด์ สตาร์เร็กซ์ ตอบโจทก์ความต้องการของคนชอบเดินทางได้เป็นอย่างดีแน่นอนครับ