เทคโนโลยีเครื่องยนต์อัจฉริยะ จากบ๊อช

เทคโนโลยีเครื่องยนต์อัจฉริยะ จากบ๊อช นำเสนอโซลูชันส์ที่ก้าวล้ำด้านระบบส่งกำลังไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบเบรก

การก้าวสู่ความเป็นเมือง คือปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองสำคัญอื่นๆ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วประเทศไทย เมื่อเมืองเหล่านี้มีความทันสมัยมากขึ้น ความต้องการด้านการขนส่งและการเดินทางจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยรายงานเกี่ยวกับเมืองของโลก โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations’ World Cities)ประจำปี 2559 ระบุว่าภายในปี 2573 จะมีผู้อยู่อาศัยในเมืองอย่างน้อย 5,000 ล้านคนทั่วโลกและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภูมิภาคเดียวจะมีคนจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองถึง 90 ล้านคน โดยมีการคาดการณ์ว่าการจราจรในเมืองจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น เท่านับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงปี 2593 ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการจราจรติดขัด อุบัติเหตุทางการจราจรและมลพิษที่เพิ่มขึ้น เทคโนโลยีเครื่องยนต์อัจฉริยะ จากบ๊อช จtเข้ามาช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น

  บ๊อชมุ่งหวังให้ถึงวันที่การเดินทางในเมืองของประเทศไทยปราศจากความเครียด อุบัติเหตุและมลพิษ จึงก่อให้เกิดวิสัยทัศน์ซึ่งสามารถบรรลุผลได้ด้วยระบบนิเวศที่ยั่งยืนด้วยการผสมผสานโซลูชันส์ทางเลือกด้านการคมนาคมขนส่งและการสร้างเครื่องยนต์เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยกว่า สะดวกสบายกว่า และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นายมาร์ติน เฮย์ส ประธานบริษัทบ๊อชประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว

 โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลไทย ซึ่งครอบคลุมถึงแผนแม่บทด้านการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม โดยโครงการหลักในกรุงเทพฯ ประกอบด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อและการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีการร่างชุดแผนกลยุทธ์ที่รัฐบาลจะช่วยเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจด้วยการก้าวไปสู่สังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ให้คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าและสุขภาพที่ดีขึ้น

 การศึกษาที่ดำเนินการโดย World Economic Forum ระบุว่าทั่วโลกมีมลพิษทางอากาศที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า ล้านคนต่อปี และทำให้คนอายุสั้นลงโดยเฉลี่ย 1.8 ปี ในขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังประสบภาวะสำลักฝุ่นควันที่หนา โดยประเทศต่าง ๆ ได้นำวิธีการที่เข้มข้นไปใช้ในการปรับสภาพอากาศ เช่น การกระตุ้นเมฆฝน และการกำจัดหมอก ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยปริมาณฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 ที่เป็นอันตรายเกินขีดความปลอดภัยในกรุงเทพฯ เชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ทั้งหมดต้องได้รับการพิจารณาหาวิธีการแก้ไขร่วมกัน

 แนวทางของ Bosch สำหรับการการเดินทางในเมือง

เทคโนโลยีเครื่องยนต์อัจฉริยะ จากบ๊อช อีกอย่างก็คือ ระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่บ๊อชผลิตขึ้นมาทั่วโลกนั้นได้นำไปใช้กับรถมากกว่า แสนคันบนท้องถนน ในประเทศไทย ยานยนต์แบบไฟฟ้าไฮบริด (HEV) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของระบบส่งกำลังไฟฟ้าชนิดนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง

 ระบบแบตเตอรี่ไฮบริด 48 โวลต์

ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายต่างมุ่งมั่นที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในทางปฏิบัติแล้วหมายถึงการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ โดยแบตเตอรีบ๊อช 48 โวลต์ได้รับการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่บ๊อชใช้มีขนาดกะทัดรัดที่สุดในขณะที่ยังคงสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้

ส่วนแบตเตอรี่ 48 โวลต์ที่เป็นนวัตกรรมของบ๊อช ได้รับการรับรองมาตรฐานสำหรับการใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรถไมโครคาร์ สนนราคายังช่วยให้มันกลายเป็นพลังงานไฮบริดสำหรับทุกคนได้ ทั้งนี้ขณะที่ตลาดไฮบริดขยายตัว บ๊อชคาดว่าแบตเตอรี่ของทางบริษัทจะประสบความสำเร็จในภูมิภาคด้วย

 การผลิตแบตเตอรี่ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายปี 2561 โดยบ๊อชได้แบตเตอรี่ขนาด 48 โวลต์ พร้อมสร้างสรรค์ส่วนประกอบของระบบส่งกำลังเพื่อหวังเข้าถึงตลาดยานพาหนะระบบไฮบริดระดับเริ่มต้นที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ว่ารถยนต์ไฮบริดขนาด 48 โวลต์จำนวน 15 ล้านคันจะออกสู่ตลาดภายในปี 2568

 ฝุ่นจากเบรกน้อยลงร้อยละ 95 ด้วยระบบเบรกแบบใหม่

ระบบเบรกเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของอุปกรณ์ความปลอดภัยในรถยนต์ ระบบจะแปลงแรงเบรกจากผู้ขับขี่ให้กลายเป็นการเบรกที่ต้องการในรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่ายานพาหนะจะหยุดอย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มีอีกเหตุผลที่ระบบเบรกเป็นจุดสนใจของผู้คน นั่นคือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มลพิษจากฝุ่นละอองจากการจราจรส่วนใหญ่บนถนนเกิดจากถนน ยางรถยนต์ และผ้าเบรกมากกว่าการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลประเทศเยอรมนีระบุว่าเบรกและยางมีผลร้อยละ 32 ในการปล่อยฝุ่นละออง และครึ่งหนึ่งเป็นฝุ่นจากเบรก การลดฝุ่นจากเบรกจึงช่วยให้อากาศในเมืองดีขึ้นได้

 ระบบเบรกเทคโนโลยีรีเจนเจอเรทีฟ (Regenerative braking systems) ช่วยให้ระบบเบรกสามารถฟื้นพลังงานเบรกแทนการใช้เบรกแบบเสียดทาน (friction brake) และยังช่วยการเบรกนั้นปลอดมลพิษ การเผาไหม้ของเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจำเป็นต้องอาศัยโซลูชันในแบบโมดูลาร์ และ scalable vacuum-independent ทั้งนี้ iBooster ซึ่งเป็นหม้อลมเบรกที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถใช้ได้กับยานพาหนะทุกประเภท โดยเฉพาะรถยนต์แบบไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หม้อลมเบรกชนิดนี้ช่วยลดระยะเบรกและทำให้รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยประหยัดการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการจราจรในเมืองที่ต้องมีการเบรกและเร่งความเร็วตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อ ใช้ร่วมกับเทคโนโลยี ESP®hev ระบบเบรกแบบใหม่ที่ใช้สุญญากาศสำหรับรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทำให้การแปรรูปเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานสามารถช่วยลดฝุ่นละอองการจากเบรกได้ถึงร้อยละ 95

 การเดินทางแห่งอนาคต

ระบบการส่งกำลังที่ประหยัดพลังงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวิธีแก้ปัญหาด้านพลังงานและภาวะโลกร้อน บ๊อชเชื่อว่าเครื่องยนต์ที่สันดาปภายในที่เหมาะสมและระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของการคมนาคมภายในเมืองและทางบริษัทจะยังคงพัฒนาและปรับปรุงระบบการส่งกำลังทั้ง ประเภทต่อไป

 เมื่อต้นปีนี้บ๊อชได้เข้าซื้อหุ้นของ EM-motive ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าของยุโรป ทั้งนี้ EM-motive ก่อตั้งขึ้นโดยบ๊อชและเดมเลอร์ในปี 2554 ในฐานะบริษัทร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 50:50  โดยทาง EM-motive ได้ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 450,000 ตัว การซื้อบริษัทในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับบ๊อชในฐานะผู้นำด้านการคมนาคมด้วยระบบไฟฟ้า ทั้งยังช่วยผลักดันขีดจำกัดทางเทคนิคให้เกิดขึ้นจริงได้ต่อไป

 สำหรับบ๊อช การให้หลักประกันเรื่องอากาศที่บริสุทธิ์ในเมืองของประเทศไทยไม่ได้ไกลจากความเป็นจริงเลย ทั้งนี้เพราะวิศวกรของเรามีความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เมืองของเราน่าอยู่และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” คุณเฮย์สกล่าว

เกี่ยวกับบ๊อชในประเทศไทย

บ๊อชได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 ปัจจุบัน บ๊อชสร้างความหลากหลายในธุรกิจถึงสี่ด้าน ได้แก่ โซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร บริษัทมีโรงงานผลิตในธุรกิจโซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อนถึงสามแห่ง พร้อมทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา อีกทั้งสำนักงานขายและศูนย์บริการสำหรับอุปกรณ์ไฮดรอลิกและเครื่องจักรในจังหวัดระยอง ในปีที่ผ่านมา บ๊อชในประเทศไทยมีพนักงานกว่า 1,500 คน

 เกี่ยวกับกลุ่มบ๊อช

กลุ่มบริษัทบ๊อช ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลก มีพนักงานทั่วโลกกว่า 410,000 คน (ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561) ปี 2561บริษัทมียอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า 78.5 พันล้านยูโร โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น กลุ่มธุรกิจสำคัญได้แก่ กลุ่มโซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อน กลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร ในฐานะผู้นำทางด้าน IoT (Internet of Things) บ๊อชนำเสนอนวัตกรรมแห่งโซลูชั่นส์เพื่อบ้านอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ยานยนต์ และ อุตสาหกรรมที่สามารถเชื่อมต่อถึงกัน ด้วยความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเซนเซอร์ ซอฟท์แวร์ และการให้บริการ รวมถึงไอโอทีคลาวด์ของบ๊อชเอง เราจึงสามารถให้บริการโซลูชั่นส์ที่เชื่อมต่อแบบข้ามโดเมนได้เบ็ดเสร็จจากแหล่งเดียว เป้าหมายกลยุทธ์ของเรา คือการส่งมอบนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจเพื่อชีวิตที่เชื่อมต่อถึงกัน ผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการเสนอคำตอบที่ล้ำสมัยและเป็นประโยชน์ที่นับได้ว่าเป็น เทคโนโลยีเพื่อชีวิต” 

กลุ่มบ๊อช ประกอบด้วยบริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช และบริษัทในเครืออีกกว่า 460 บริษัท รวมถึงสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศต่าง ๆ อีกกว่า 60 ประเทศ หากรวมบริษัทคู่ค้าผู้จัดจำหน่ายและให้บริการต่าง ๆ ทั้งส่วนการผลิต งานวิศวกรรม และเครือข่ายด้านการขาย บ๊อชครอบคลุมอยู่เกือบทุกประเทศทั่วโลก เพราะพื้นฐานสำคัญสำหรับการขยายตัวในอนาคตของบริษัทขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรม บริษัทจึงมีพนักงานในส่วนการวิจัยและพัฒนากว่า 68,700  คน ในศู นย์วิจัยกว่า 130 แห่งทั่วโลกในปัจจุบัน

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.bosch.co.thและhttps://www.facebook.com/BoschThailand.