ทดสอบ MG HS

ทดสอบ MG HS พิสูจน์ความน่าใช้และความทันสมัยของเทคโนโลยี

ตลาดรถประเภท SUV ยังคงมีความร้อนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Compact SUV ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรถยนต์บ้านเรา ค่ายรถยนต์ MG ถือ เป็น อีก ค่ายหนึ่งที่ให้ความสนใจ ในการพัฒนารถยนต์นั่งหลากหลายรูปแบบ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เผยโฉมรถกระบะ MG Extender กระบะตัวลุยและพื้นฐาน รถใช้งาน เรามีโอกาสได้พิสูจน์ความน่าสนใจให้ทุกท่านได้เห็นกันไปแล้ว ครั้งนี้เรามา ทดสอบ MG HS พิสูจน์ความน่าใช้และความทันสมัยของเทคโนโลยีรถยนต์ ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ ซึ่งยังคงความเข้มข้น กับรูปแบบ ของรถอเนกประสงค์ประเภท SUV

ชื่อของ MG HS ถูกกล่าวขานในวงกว้าง สำหรับผู้ที่ต้องการ เลือกหารถยนต์ที่ สามารถใช้งานในเมืองได้อย่างคล่องตัว พร้อมทั้งการเดินทางท่องเที่ยว ในต่างจังหวัด ลุยได้เล็กน้อย ซึ่งตัวเลือก ของรถประเภทนี้ มีให้เห็น หลายยี่ห้อ

สำหรับ MG HS นั้นได้งัดเอากลยุทธ์ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งข้อเสนอพิเศษ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์ในราคาที่สมเหตุสมผล มาเป็นตัวแปรสำคัญ ให้กับผู้บริโภคได้เลือกใช้ ที่เหลือก็คือ บทพิสูจน์ ในเรื่องของการใช้งาน ซึ่งวันนี้ เราได้ทำการ ทดสอบ MG HSเพื่อให้ท่านที่กำลังมองหารถประเภทนี้นำไปประกอบการตัดสินใจ ซึ่ง HS จะมีอะไรที่โดดเด่นและโดนใจ บ้างไปดูพร้อมๆกันเลยครับ

หน้าตาสวยงามพิมพ์นิยม

ในการออกแบบ MG HS นั้นถือว่า มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของการดีไซน์ทั้งด้านหน้าและหลัง ด้านข้างตัวถังของรถ โดยกระจังหน้า ขนาดใหญ่ มีไฟ แบบ LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน ส่วนด้านข้าง เน้นเรื่องของความโค้งมนในตัวรถมากกว่าเส้นสายหรือเหลี่ยมสันของรถ ซึ่งคงต้องแล้วแต่คนชอบ ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ Space Life Field ส่วนล้อเป็นอร่อยขนาด 18 นิ้ว ในรุ่นดีและ x ส่วนในรุ่น c จะใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

มาถึงในห้องโดยสาร ก็ยังคงเน้นความโค้งมน ใช้วัสดุที่เป็นแบบ Soft Touch เบาะนั่งคู่หน้าปรับได้ด้วยไฟฟ้ารูปทรงคล้าย Bucket Seat แนวสปอร์ตโทนสีแดง เป็นหลักซึ่งแน่นอนว่า มีหลายคนที่ชื่นชอบในสไตล์ที่เป็นสปอร์ตแต่ก็ยังมีบางท่าน ที่มองแล้วไม่โดนใจสำหรับเบาะ สีนี้เท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตามสิ่งอำนวยความสะดวกใน MG HS นั้นก็ถือว่ามีมาให้อย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลที่มาตรวัดแบบ Interactive Multimedia function Display ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลทั้งเรื่องของการขับขี่ระบบความปลอดภัย ความบันเทิงและระบบนำทาง พร้อมหน้าจอหลักแบบ Smart Touch Screen ขนาด 10 นิ้ว

พวงมาลัยก็ยังคงเป็น multi function ใช้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

บริเวณพวงมาลัยและคอพวงมาลัยมีลูกเล่นที่คนขับจะต้องทำความคุ้นเคยทั้งในเรื่องของระบบความปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันหรือ Adaptive Cruise control

ซึ่งจะมีชุดควบคุม อยู่ที่ ก้าน บนคอพวงมาลัยตัวล่าง ส่วนก้านตัวบนจะเป็นสวิทช์ไฟเลี้ยว และปุ่มเปิดปิดระบบการทำงานของ ระบบ Lane Departure Warning

นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ หรือที่เรียกว่า Forward collision warning ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออก นอกเลน Lane Departure prevention รวมไปถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ Traffic Jam assist นอกจากนี้ยังเสริมเรื่องความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 6 จุดและมุมมองของรอบตัวรถที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองภาพ 3 มิติ 3D Around View Monitor

เริ่มต้นพิสูจน์การใช้งาน

เมื่ออุปกรณ์ รวมทั้งเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่มีมาให้มากมายในตัวถือเป็น สิ่งที่ดี แต่ที่สำคัญ กว่านั้นก็คือ อุปกรณ์ที่ให้มาต้องสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหน้าที่ในการทดสอบ ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ ช่วยเราได้มากน้อยแค่ไหน เป็นหน้าที่ของทีมงาน Carbeliever จะมาพิสูจน์ให้คุณได้รู้กัน ในการทดสอบ MG HS ในครั้งนี้

เริ่มต้นกันที่พละกำลังที่ใช้ ใต้ฝากระโปรง MG HS นั้นเป็นเครื่องยนต์ เบนซิน 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมกับ ระบบอัดอากาศ ส่งกำลังไปยังล้อด้วยระบบ เกียร์ ที่เขาเรียกว่า TST Twin Crutch Sportronic Transmission แบบ 7 สปีด เรียกม้าออกมาใช้งานได้สูงสุดถึง 162 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรในรอบที่ต่ำเพียง 1700 รอบต่อนาที

มีโหมด ในการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ก็คือ โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติทั่วไป โหมด Eco เพื่อการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น โหมด Sport ซึ่งจะสามารถ ลากรอบให้สูงขึ้นมากกว่าเดิมปกติอีก เล็กน้อยเพื่อการขับขี่ที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ส่วนโหมดสุดท้าย เป็นโหมด ที่เรียกว่า Custom สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ตามต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเพิ่มความสนุกสนาน ในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็คือ ใต้วงพวงมาลัยมีปุ่มสีแดง ซึ่งเป็นปุ่ม Supersport กลุ่มนี้จะช่วย เสริม พลังในการขับขี่ให้รถ ออกตัวเร่งแซง ได้แรงมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า ในปุ่มนี้ อัตราการบริโภคน้ำมัน ย่อมไม่ธรรมดา

ในการใช้งานทั้ง 4 โหมด รวมทั้ง ปุ่ม Supersport นั้นถือว่าเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน การปรับจูน ในช่วงจังหวะ ของการใช้งานอย่างถูกต้องถือเป็นสิ่งที่ การออกแบบของรถให้ความใส่ใจ เพื่อผู้ใช้ ได้สามารถ เลือกให้เหมาะสมกับ การขับขี่ใน สถานการณ์นั้นๆ ได้อย่างเหมาะสม

ช่วงล่างดี การควบคุมเด่น แต่

ในด้านของ handling และ ประสิทธิภาพของช่วงล่าง ต้องยอมรับว่า MG HS สร้างความประทับใจ ในเรื่องของ การซับแรงกระแทก และการยึดเกาะถนนในขณะเข้าโค้ง ได้ดีกว่า รุ่นพี่หลายๆ รุ่น ของค่าย โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ Multi Link

อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกับ ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน อาจจะ ทำให้เรารู้สึก ฝืนการควบคุม พวงมาลัยของเรา ได้ เนื่องจาก ในการเข้าโค้ง ธรรมชาติของเรา อาจจะมีการตัดโค้งเพื่อลดแรงเหวี่ยง แต่เมื่อระบบ จับเลน ซึ่งมีเส้นแบ่งถนนที่ชัดเจนได้ ระบบ จะทำการขืน เพื่อรักษา แนวของรถ ให้อยู่ในเลน จึงทำให้ มีความรู้สึกว่าพวงมาลัยหนักและ ขืนขณะที่ เราเข้าโค้งได้

ซึ่งทางที่ดีในช่วงที่เป็นทางโค้ง หรือการขับขึ้นเขา ควรจะปิดระบบนี้ สวนทางตรง ก็สามารถเปิดใช้ระบบ ได้ จะช่วยในเรื่องของความปลอดภัยในขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี

ส่วนการทำงานของระบบ Adaptive Cruise control ทำงานแม่นยำดี แต่ยังขาดในเรื่องของความนุ่มนวลบ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเร่งตามคันหน้า คอมพิวเตอร์ที่ควบคุมคันเร่งสั่งการให้คิกดาวน์สวิทช์ทำงานง่ายเกินไปหน่อย ส่วนระบบเบรกยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ MG คือต้องกดลึกกว่าปรกติหน่อย ทว่าอยู่และมีประสิทธิภาพดี

อีกสิ่งหนึ่ง ที่ถือว่าน่าสนใจ สำหรับระบบที่ช่วยเตือนเมื่อเรา ปล่อยมือออกจากพวงมาลัย นานกว่าปกติ ระบบ warning จะขึ้นเตือนที่หน้าจอ ให้เราทำการควบคุมพวงมาลัย หรือจับส่วนใดส่วนหนึ่งของพวงมาลัยระบบถึงจะเลิกเตือน ซึ่งก็ถือว่า ช่วยในเรื่อง ของการ ขับขี่ ที่อาจจะเกิด การ ง่วงนอน หรือหลับในได้

Smart function ใช้งานง่ายกว่าเดิม

ว่ากันต่อในเรื่องของ Smart function ซึ่ง MG HSมาพร้อมระบบปฏิบัติการ ที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของค่าย mg ก็คือ iSmart สิ่งที่ผ่านมา หลายคนอาจจะบ่นว่า การใช้งาน i-Smart ของ MG นั้น ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน แต่สำหรับใน MG HS นี้ มีการปรับเปลี่ยน ฟังก์ชันการทำงาน ให้เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นรวมทั้งระบบสั่งการด้วยเสียง ก็ สามารถ สั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นการโทรออกการควบคุมระบบเครื่องเสียงระบบปรับอากาศ เปิดปิดหน้าต่างฝั่งคนขับ และหลังคาซันรูฟ ซึ่งถือว่าใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

MG HS รุ่น X ที่เราทดสอบนี้ ค่าตัวอยู่ที่ 1,119,000 บาท ถือว่าเป็นรถที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานระบบความปลอดภัยรวมไปถึงเทคโนโลยีที่หลากหลายครบครัน คุ้มค่ากับราคาค่าตัว รวมไปถึงการขับขี่ ที่แม่อาจจะต้องสร้างความเข้าใจ ในการทำงานของระบบต่างๆบ้าง แต่ประสิทธิภาพทั้งเรื่องของเครื่องยนต์ ช่วงล่างและระบบส่งกำลัง ก็ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบาย ปลอดภัย มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม MG HS น่าจะถือว่าเป็นตัวเลือก สำหรับรถประเภท SUV ที่น่าสนใจ อีกรุ่นหนึ่งสำหรับตลาดรถยนต์บ้านเรา