ส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าตามแนวทาง Multi-solution

รวมทั้ง MHEVS, HEVS, PHEVS, BEVS, R-EVs และรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตรงกับความต้องการมากที่สุด เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด

แผนกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในไทย

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญอันดับต้น ๆ มาสด้าตระหนักถึงกระแสตอบรับที่ดีและความ ต้องการรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มาสด้าจึงเร่งแผนในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยวางแผนในการแนะนำรถไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปตามกล ยุทธ์ 3 เฟส เช่นเดียวกัน ซึ่งเฟส 2 จะเป็นการนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าในไทย

โดยมาสด้าจะทำการเปิดตัวแนะนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้ง BEV, PHEV, HEV ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 โดยเริ่มจากการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6e ในปีนี้ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างมาสด้าและพาร์ทเนอร์ในประเทศจีสร้างไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คอมแพ็คเอสยูวี ตั้งเป้าการผลิต 100,000 คันต่อปี

มร. มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงแผนธุรกิจว่ามาสด้าในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ มาสด้า เซลส์และผู้จำหน่ายมาสด้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง AutoAlliance (AAT) ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ทำการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่ก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ. 2558 ทั้งสองโรงงานนี้คือรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์มาสด้าและชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก วันนี้มาสด้าได้เตรียมความพร้อมไปอีกขั้น

การผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs

ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี โดยมุ่งเน้นไปที่การประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์เกียร์ และแบตเตอรี่ พร้อมวางเป้ากำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี นี่คือจุดเริ่มต้นและก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ต่อการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถพลังงานไฟฟ้าของมาสด้าและเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ไม่เพียงเท่านี้มาสด้า มอเตอร์คอร์ปอเรชั่น พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่สุด รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒนา ทักษะช่างฝีมือประกอบรถยนต์

เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยจะเป็นไปตามมาตรฐาน

กลยุทธ์ที่ 1 : การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน”

• สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ Agile และ Insight-Driven คล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ในปัจจุบัน กลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen-Y มีประมาณ 70% ของพนักงานทั้งหมด กลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีการศึกษาสูง ปรับตัวได้ดี มีเป้าหมายชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเราจะใช้จุดแข็งและพลังของกลุ่มมิลเลนเนียลผสานการ

ทำงานร่วมกับ Gen-X และ Gen-Z เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า

  • สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ด้วยโปรแกรม “Career@Mazda” ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งที่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่าย เพื่อพัฒนา ทักษะ และส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานกับแบรนด์และเพื่อนร่วมงาน
  • สร้างโปรแกรม “Mazda Signature Services” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการส่งมอบ คุณค่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า 3 ประการ ได้แก่-“Radically Human,” การให้ความสำคัญกับมนุษย์ “Challenger Spirit,” สปิริตที่ไม่ย่อท้อ และ “Omotenashi” ให้การดูแลเช่นเดียวกับคนในครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณค่าของแบรนด์จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกค้าในทุก ๆ touchpoint ของการบริการ

กลยุทธ์ที่ 2: ยกระดับการบริการและการสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึกทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และสื่อสารกับลูกค้า ด้วยข้อมูลเชิงลึก ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม VOF หรือ “Voice of Fans” เพื่อช่วยวิเคราะห์ความ คิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมนำความคิดเห็นมาจัดเก็บเป็นข้อมูล วิเคราะห์ และตอบกลับอย่าง ทันท่วงที

ทั้งในช่องทาง Digital และผ่านพนักงาน เพื่อปรับปรุงการบริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดนอกจากนี้ มาสด้ากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง รวมถึงคลังข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน อาทิ การสร้างระบบ Data Warehouse และการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าแบบ SCV (Single Customer View) 360 องศา

รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ นำมาออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นตรงกับความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง

กลยุทธ์ที่ 3: การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ด้านออนไลน์: มีการพัฒนาเว็บไซต์องค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนให้เป็น Mazda NEXTperience Hub ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกสิ่ง เพื่อให้มั่นใจ ว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาสด้าจะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขของการเป็นเจ้าของรถมาสด้า

• กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในไทย

มาสด้ากำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-solution โดยจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2รุ่น โดย รุ่นแรกที่ลูกค้าได้สัมผัสในเร็วๆ นี้ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6e

• กลยุทธ์ด้านการผลิต

มาสด้ายังคงเดินหน้าผลักดันการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากโรงงานทั้งสองแห่งและสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันพร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลกโดยโรงงานผลิตทั้งสองแห่งมีคุณภาพ

มาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก นี่คือรากฐานที่มั่นคงที่จะช่วยเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการผลิตรถ xEVs ในอนาคต ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมาสด้าทั่วโลก

โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ที่ทางมาสด้าออกมาประกาศเดินหน้าเต็มขุมกำลัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งสำคัญสุดของมาสต้าในการผลิตและส่งออก เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งพนักงาน ผู้จำหน่ายโดยเฉพาะลูกค้าชาวไทยเพราะลูกค้าคือหัวใจสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจของมาสด้า

ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและมั่นคงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิต เพื่อให้แบรนด์มาสด้าเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงไปพร้อม ๆ กับการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ” นายธีร์ กล่าว