ผสานลงตัวระหว่าง “ความแรง” กับ “ความสบาย” ใน Mercedes-AMG C43
ถ้าเราพูดถึงรถยนต์สมรรถนะสูง หลายคนที่มีโอกาสได้สัมผัสถึงพละกำลังของเครื่องยนต์ตัวแรงคงบอกว่ามันเป็นอะไรที่สนุกสนาน ตื่นเต้นเมื่อได้มีโอกาสกดคันเร่ง แต่สำหรับคนที่ประสบการณ์น้อย และไม่คุ้นชินกับรถแรงม้าเยอะๆ แรงบิดแยะๆ ก็อาจจะบอกว่า “น่ากลัว” เพราะรถแรงๆ ส่วนใหญ่จะขับยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมพลังทั้งหมดไว้ในอุ้งเท้าหรือว่า การกุมบังเหียร ให้อยู่ในลู่ทางที่ต้องการนั้นมันคงลำบาก เพราะม้าบางตัวที่พยศมักทำให้เราไม่มั่นใจในการบังคับมัน ความคิดนี้คงมีบางส่วนที่ถูก แต่ไม่ใช่กับตัวแรงที่เราขับกันวันนี้ Mercedes-AMG C43
การเดินทางของฝูง Mercedes-AMG นั้นมีหลายรุ่น โดยใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ ไปยัง จังหวัดชลบุรี ระยะทางไม่ไกลมากนัก แต่ก็ถือว่ามีรูปแบบของเส้นทางให้ได้สัมผัสกันอย่างหลากหลาย ตั้งแต่ในช่วงสายๆ ใจกลางเมืองบนถนนสาร บนทางด่วน การเดินทางบนถนนไฮเวย์ และการเดินทางบนทางโค้งขึ้นเนินเขาบ้างเล็กน้อยในบรรยากาศชายทะเลของชลบุรี
แรงแต่ขับสบายหาได้ใน Mercedes-AMG C43
แม้จะไปกันหลายรุ่นแต่ในที่นี้ขอพูดถึงในรุ่นที่เราอยู่ด้วยกันตลอดการเดินทางหลายชั่วโมงนั่นก็คือ Mercedes-AMG C43 4 MATIC sedan เครื่องยนต์ เบนซิน แบบวี 6 สูบ 24 วาล์ว มาพร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ และอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 2,996 ซีซี. แรงกำลังออกมาใช้งานได้ 287 กิโลวัตต์ หรือ 390 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที แม้จะไม่ใช่ตัวแรงสุดของกลุ่ม AMG ในการเดินทางครั้งนี้ แต่อัตราเร่งที่โดดเด่นก็ช่วยให้การเดินทางที่รวดเร็วปลอดภัยเมื่อต้องการเร่งแซง
โดยตัวเลขตามที่โรงงานแจ้งมา อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. ใช้เวลาไปเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้น ส่วนความเร็วปลายถ้าจะกดกันจริง ก็อยู่ราว 250 กม./ชม. บวกลบ ตามแรงลมเล็กน้อย แต่งานนี้ใช้ความเร็ตามกฏหมายกำหนดเท่านั้นครับ
ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G Transmission พร้อมระบบเปลี่ยนเกียรที่พวงมาลัย หรือ Gearshift Paddles
ขาดไม่ได้สำหรับสิ่งที่ช่วยให้เรามั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนนก็คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC ที่ช่วยในเรื่องของการยึดเกาะถนนที่มั่นคง และโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึ่งจากหลายๆ ทริปที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางบนถนนคดโค้ง หรือการขับขี่ที่ใส่กันได้เต็มๆ อย่างในสนามช้าง อินเตอร์ฯ ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ที่ไม่ต้องพูดกันมากนัก ส่วนล้อหน้าใช้ขนาด 225/40 R19 และล้อหลังกว้ากว่าเล็กน้อยคือ 255/35 R19
เลือกรูปแบบการขับขี่ตามชอบด้วย ระบบ DYNAMIC SELECT
ระบบ DYNAMIC SELECT ใน Mercedes-AMG นั้นถือเป็นสิ่งที่ต้องพูดถึงอีกอย่าง สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ หลาท่านทราบถึงการทำงานที่น่าสนใจของระบบนี้ดีอยู่แล้ว แต่หลายท่านยังสงสัย ก่อนไปนั่งชิลล์ที่ร้านอาหาร ก็ต้องลองใช้เพื่อสัมผัสถึงความแต่ต่างในแต่ละตัวเลือกของระบบ DYNAMIC SELECT กันบ้าง
ระบบ DYNAMIC SELECT เป็นระบบที่ช่วยในการปรับเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ของรถยนต์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับในแต่ละสถานการณ์ หรือตามความชอบส่วนตัว ระบบไม้ได้จัดการปรับเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่จะทำการจูนนิ่งบุคลิกการทำงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยวหรือโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP ให้เหมาะสมตามโปรแกรมการขับขี่ที่เราเลือก
ตำแหน่งของสวิทช์เลือกระบบการขับขี่ DYNAMIC SELECT จะต้องอยู่บริเวณคอนโซลกลาง โดยแต่ละคาแร็คเตอร์ที่เลือกก็จะมีลักษณะของการเซ็ตอัพที่แตกต่างกัน มีทั้งหมด 5 รูปแบบก็คือ “Comfort”, “Sport”, “Sport+”, “Individual” และ โหมด “ถนนลื่น” โดยการแสดงผลจะโชว์ให้เห็นบนหน้าจอหลักบนหน้าปัด
ในโหมด “Comfort” ถือเป็นค่าที่ตั้งไว้เป็นมาตรฐานเริ่มต้นล่วงหน้าเป็นโปรแกรมการขับขี่เน้นในเรื่องความสมดุล การขับขี่ที่สะดวกสบาย ช่วงล่างนิ่มนวล ควบคุมง่าย ประหยัดน้ำมัน ส่วนโปรแกรมการขับขี่ “Sport” ให้ความคล่องแคล่วรวดเร็วและมีพลังในการขับเคลื่อนมากขึ้นกว่าเดิม เริ่งแซงได้ดีกว่าเดิม แลกกับอัตราสิ้นเปลืองที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ถ้าอยากได้กำลังมากยิ่งขึ้น การขับขี่ที่รวดเร็ว ช่วงล่างยึดเกาะกว่าเดิม พวงมาลัยคมและสปอร์ต ก็ต้องปรับมาเป็นโหมด “Sport+”
ส่วนโหมด “Individual” เป็นโหมดที่ให้ผู้ขับสามารถกำหนดบุคลิกลักษณะการทำงานของแต่ละระบบให้สอดคล้องเหมาะสมกับรสนิยมในการขับขี่ของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นความกระด้าง หรือนิ่มนวลของช่วงล่าง การปรับเครื่องยนต์ให้ตอบสนองดีกว่าหรือน้อยกว่า ตามแต่ต้องการ สุดท้ายคือโหมด “ถนนลื่น” จะเป็นการปรับเพื่อให้ระบบความปลอดภัยอย่าง ESP เข้ามาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการออกตัวบนทางลื่น อาจจะเหมาะกับถนนโคลน หรือถ้าเป็นเมืองหนาว ก็จะใช้ได้ดีกับถนนที่มีหิมะตก
ทริปสั้นๆ ระยะทางไม่ยาวไกล ทว่ามีความน่าสนใจ โดยเฉพาะครั้งนี้ขับคนเดียว ทั้งไปและกลับ ก็จะมีโอกาสได้สัมผัสการใช้งานของรถจริงตลอดการเดินทาง แม้จะเป็นขากลับในช่วงเย็นบนถนนสาทร ที่มีสภาพการจราจรที่หนาแน่น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การได้นั่งอยู่ในรถนานๆ นั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อและเมื่อยล้าแต่อย่างใดครับ