อนาคตของเทคโนโลยีการขับขี่ในประเทศไทย คือ
ระบบขับเคลื่อนที่ชาญฉลาด ใช้พลังงานไฟฟ้า และปราศจากเสียงรบกวน
ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าคือกุญแจดอกสำคัญ ช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสียง ที่มาพร้อมยกระดับสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทย
ราเมช นาราสิมัน ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย
อนาคตของเทคโนโลยีการขับขี่ในประเทศไทย การสร้างสรรค์ระบบนิเวศของรูปแบบการขับขี่แห่งโลกอนาคต คือ สิ่งหนึ่งที่ นิสสัน ประเทศไทย ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบัน ประเทศไทย ได้กำหนดเป้าหมายในการผลักดันให้เกิดการใช้งานรถยนต์ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (EV) จำนวน 1.2 ล้านคันบนท้องถนนทั่วประเทศ ภายในปีพ.ศ. 2579[1] และรัฐบาลไทยก็มีการส่งเสริมการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดการปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้น การจราจรที่แออัด และมลพิษทางเสียง
ด้วยประสบการณ์กว่าสองทศวรรษในภูมิภาคนี้ ทำให้ผมได้เห็นถึงผลกระทบจากการขยายตัวของสังคมเมืองที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวและสุขภาพของผู้คน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดคำถามขึ้นว่า เราสามารถทำอะไรได้บ้างและควรเร่งดำเนินการอย่างไรเพื่อจัดการผลกระทบเหล่านั้น
โดยเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา นิสสัน ได้ทำงานร่วมกับบริษัทวิจัย ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ทำการศึกษาบทบาทที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยีด้านการขับขี่ที่มีผลต่อการวางแผนพัฒนาเมืองในอนาคตทั่วภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งผลจากการศึกษาได้เผยให้เห็นว่า กรุงเทพมหานครถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคจากตัวชี้วัด เช่น ดัชนีการขับขี่รูปแบบใหม่ (3.5 คะแนน) และดัชนีเมืองอัจฉริยะ (5.0 คะแนน)[2] หากพิจารณาตามคำจำกัดความของคำว่า “การเคลื่อนที่อัจฉริยะ” (Smart Mobility) ของฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนแล้ว ระบบคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ อาจยังไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากความแออัดภายในตัวเมือง ซึ่งทำให้เสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นถึง 61% และก่อให้เกิดปัญหามลพิษเพิ่มขึ้นตามมา
ความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับขี่และการใช้ชีวิตและการขับขี่ของผู้คน
ความท้าทายดังกล่าวมาพร้อมบทบาทใหม่ของผมในฐานะประธาน นิสสัน ประเทศไทย เพื่อขยายโอกาสในการเป็นผู้นำของนิสสันในการปฏิวัติรูปแบบขับขี่อย่างยั่งยืนของประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีที่สุดของเรา ภายใต้วิสัยทัศน์ของการเคลื่อนที่อัจฉริยะของนิสสัน หรือ นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) เรามุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิถีแห่งการขับขี่และการใช้ชีวิตของผู้คนภายในประเทศ และเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นทางออกของส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดจากการขยายตัวของสังคมเมืองอย่างรวดเร็ว
ปัญหาหนึ่งที่ถือเป็นความท้าทาย คือ มลพิษทางเสียง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) [3] การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น บนท้องถนน ซึ่งมีระดับความดังกว่า 53 เดซิเบล อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง หรือแม้กระทั่งนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว และเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่งที่กรุงเทพฯ และมหานครอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ โฮจิมินห์ จาร์กาตา ฮ่องกง มะนิลา เมลเบิร์น สิงคโปร์ และโซล มีระดับความดังเสียงโดยเฉลี่ยสูงถึง76เดซิเบล[4] สูงกว่าระดับความดังเสียงที่เหมาะสมขององค์การอนามัยโลกแนะนำเกือบสี่เท่า
ทั้งนี้ คนไทยมีความตื่นตัวกับประเด็นนี้มากขึ้น เห็นได้จากงานวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2561 พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนเป็นปัญหามาจากเสียงรบกวนและการจราจร แม้ว่าเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเสียงรบกวนอาจไม่ได้มีต้นตอมาจากการจราจรโดยตรง แต่มาจากการขยายตัวของสังคมเมืองอย่างรวดเร็ว ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้คาดการณ์ว่าสังคมเมืองในประเทศไทยจะขยายตัวสูงถึง 60.4% ภายในปีพ.ศ. 2568 ซึ่งการจราจรที่แออัดและเสียงรบกวนจะกลายเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย
เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น นิสสันจึงได้ทำการทดลองเรื่องเสียงโดยใช้เครื่องวัดระดับเสียงทำการวัด และเปรียบเทียบระดับเสียงของถนนในเมืองทั่วไป กับถนนที่มีระดับเสียงจากรถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งผลลัพธ์แสดงระดับเสียงรบกวนบนท้องถนนทั่วไปสูงสุดถึง 90 เดซิเบล เมื่อเทียบกับเสียงที่เกิดจากรถยนต์ไฟฟ้า อย่าง นิสสัน ลีฟ ที่ก่อให้เกิดเสียงดังเพียง 21 เดซิเบล โดยสามารถรับชมวีดิโอแสดงการทดลองดังกล่าวได้ที่นี่
การร่วมมือของทุกภาคส่วน คือ กุญแจดอกสำคัญที่นำไปสู่อนาคตที่สดใส ชาญฉลาด และสะอาดด้วยพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีกระแสความสนใจในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยผลการศึกษาของ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ชี้ให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่วางแผนจะซื้อรถยนต์ มีความพร้อมและสนใจเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่ง นิสสัน ถือเป็นผู้นำระดับโลกในระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริง เพราะเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่รายแรกที่ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% นิสสัน ลีฟ เจนเนอเรชั่นแรก ออกสู่ตลาดตั้งแต่ พ.ศ. 2553 และเกือบหนึ่งทศวรรษถัดมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดขายรวมทั่วโลกสูงถึง 410,000 คัน
ในส่วนของประเทศไทย รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นกระแสที่ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ ใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงโชว์รูมและศูนย์บริการอีก 32 แห่งที่พร้อมจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย รวมถึงมีจุดชาร์จไฟไว้สำหรับรองรับความต้องการของลูกค้านิสสัน ลีฟ โดยถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่ นิสสัน ช่วยผลักดันการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของไทยให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญ เพราะปัจจุบันผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงหัวเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น ดังเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้านิสสัน ลีฟ ในปัจจุบัน จำนวนกว่าร้อยละ 20 เป็นลูกค้าในต่างจังหวัด
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF)
ความสามารถในการนำเสนอรถยนต์ นิสสัน ลีฟ ออกสู่ตลาดในวงกว้างได้นั้น เกิดจากความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชน เช่น การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ซึ่งผู้ผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าระดับโลก ที่ต่างช่วยให้ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าถึงการชาร์จไฟได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่บนท้องถนน และด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรเหล่านี้ จะทำให้การเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยให้กลายเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ ถ่ายเทพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์กลับไปสู่บ้านเรือน อาคาร หรือแม้แต่เครือข่ายกริดไฟฟ้า
ผมมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ทำงานอยู่แถวหน้าของยุคแห่งเทคโนโลยีการขับเคลื่อนล้ำสมัย เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมโอกาสมากมายสำหรับประเทศไทย หากพวกเราเดินหน้าร่วมมือกันสร้างระบบนิเวศสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้ง ภาครัฐและเอกชน ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะกลายเป็นผู้นำในยุคแห่งรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากเสียงและมลพิษทางอากาศ ที่เกิดจากการขยายตัวของสังคมเมือง
ความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์อนาคตสำหรับเราเองในวันนี้ และสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป คือ แรงขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อร่วมกันกำหนดโฉมหน้ารูปแบบการขับขี่แห่งอนาคตที่ชาญฉลาด ใช้พลังงานไฟฟ้า และเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในสังคม