เอเอ็มจี เซอร์กิต เอ็กซ์พีเรียนซ์

เอเอ็มจี เซอร์กิต เอ็กซ์พีเรียนซ์ ชวนเรียนหลักสูตรมอเตอร์สปอร์ต กับตัวแรงจาก Mercedes – AMG

ถ้าจะพูดว่าเป็นโปรเจ็คท์เรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็คงไม่ผิดนัก เนื่องจากในการฝึกฝนครั้งก่อนกับกิจกรรม เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ ที่ให้เราได้สัมผัสกับขับขี่ในสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิจบุรีรัมย์ รอบใหญ่มาแล้ว และครั้งนี้ ทั้งเป็นการทบทวน และเสริมบทเรียนเพิ่มเติมกับ “เอเอ็มจี เซอร์กิต เอ็กซ์พีเรียนซ์” ที่ชวนเรามาเรียนหลักสูตรมอเตอร์สปอร์ต กับตัวแรงจาก Mercedes – AMG ที่ต้องบอกว่า งานนี้ใจป้ำจัดตัวแรงสุดของพอร์ตโฟริโอมาให้ได้ลองกันด้วย

เริ่มต้นความแรงกันที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

การที่จะได้รับรู้ถึงสมรรถนะรถแรง รวมไปถึงการที่ได้ฝึกซ้อมในการเข้าโค้งในรูปแบบของ “เรซซิ่งไลน์” หรือการขับแบบเซอร์กิต แน่นอนว่าจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีสถานที่ฝึกซ้อมที่เหมาะสม ซึ่งสนามแข่งระดับมาตรฐานโลกในบ้านเรา ปัจจุบันมีอยู่ให้เห็นที่เดียวก็คือ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ลุยกันแบบ 1 วันเต็ม แบ่งการฝึกทักษะในโค้งของสนาม ทั้งแบบเบสิคการเข้าโค้ง การมองจุดเอเป็ค หรือว่าจุดที่ช่วยให้รถเข้าโค้งด้วยความเร็ว โดยใช้พวงมาลัยไม่เยอะและเกิดแรงเหวี่ยงน้อยสุด การขับในสนามแข่งแยกออกเป็น 3 สเตชั่นหลักๆ ก็คือ การตัดสนามออกเป็น 2 ช่วง

ช่วงแรกที่เราได้คือ ช่วง โค้ง 1-5 เริ่มจากโค้ง 1 สุดทางตรงหน้าพิท โค้งสองเป็นโค้งไฮสปีดตรงยาว โค้งสามเป็นโค้งยูเทิร์น โค้ง 4 เป็นไฮสปีดซ้ายก่อนจะต่อด้วยโค้ง 5 ที่ต้องชะลอความเร็วแล้วตัดสนามเพื่อกลับเข้าสู่โค้งที่ 12 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของสนาม ก่อนเข้าทางตรงแล้วผ่านลูปเดิมโดยรถที่ใช้ส่วนใหญ่เป็น Mercedes-AMG C 43 4MATIC ทั้งตัว 4 ประตู และ Coupé

สเตชั่น 2 เปลี่ยนมาเป็นครึ่งสนามหลัง ขยับความแรงของรถมาเป็น AMG ตัว E53 ที่ช่วยให้เราเห็นถึงความแตกต่างของความแรงที่เพิ่มขึ้น ในลูปนี้จะเล่นกันที่ โค้ง 6 ถึงโค้งที่ 11 ซึ่งระยะทางโดยรวมสั้นมากกว่า สเตชั่นแรก แต่ก็มีโค้งที่ยากมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รอยต่อระหว่างโค้งที่ 8 – 9 -10 ที่ต่อเนื่อง ต้องเข้าในไลนที่ถูกต้องรถจึงจะสามารถมีความเร็ว อัตราเร่ง และการยึดเกาะโค้งของช่วงล่างที่สมดุล

ลองของแรง AMG GT R กับการขับแบบ Full Track

สำหรับการขับในสนามแข่งแบบเต็มลูปนี้จะเป็นการขับรถในหลายรุ่นแบบเกือบครบทั้งพอร์ตโฟลิโอ โดยรวมแล้วมี 13 รุ่น ไฮไลต์ก็คือ Mercedes-AMG GT R, Mercedes-AMG GT C Roadster, Mercedes-AMG GT S, Mercedes-AMG GT 53 4MATIC+ 4-Door Coupé, Mercedes-AMG C 63 S Coupé

และสเตชั่นนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยสำหรับกิจกรรม เอเอ็มจี เซอร์กิต เอ็กซ์พีเรียนซ์ ก็คือการที่เรามีโอกาสได้สัมผัสถึงความแรงของ ตัวท็อประดับหัวแถวทั้งเรื่องราคา และความแรงอย่าง Mercedes-AMG GT R ในการขับแบบ “ฟูลแทร็ค” หรือเต็มรอบสนาม ได้ลองกันทุกโค้ง จากทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมา

นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ขับตัวแรงในรุ่นรองมา ก็คือ Mercedes-AMG GT C Roadster ที่ให้อารมความเป็นสปอร์ตในแบบของรถแข่งได้เป็นอย่างดี

AMG ตระกูล GT รถแรงในสนามแข่งที่ใครก็ไม่อยากพลาด

เอาแค่เรามองค่าตัวของรถระดับหัวแถวอย่าง Mercedes-AMG GT C Roadster ที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายถึง  17.19 ล้านบาท ส่วน Mercedes-AMG GT R ก็มาพร้อมกับค่าตัว 18.0 ล้านบาท คงไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับตัวรถ การก้าวเข้าสู่ห้องโดยสาร เราไม่ได้มองถึงเรื่องของการออกแบบว่าเลิศล้ำมากน้อยขนาดไหน

หลายคนที่ชื่นชอบรถระบดับนี้เคยเห็นภาพมาแล้ว เรามัวพะวงกับเรื่องของการปรับเบาะ และท่านั่งที่เหมาะสมในการขับในสนาม เนื่องจากในรุ่นนี้แตกต่างจาก AMG รุ่นอื่นๆ รวมไปถึง การเข้าเกียร์ ก็แตกต่างออกไป จากที่คุ้นชินกับ การโยกคันเกียร์บนคอพวงมาลัย ในตัว GT R จะอยู่ที่คอนโซลกลาง โดยสามารถเลือกเล่นกับแพดเดิ้ลชิพได้อย่างสนุกสนาน

ในการขับแบบ “ฟูลแทร็ค” หรือเต็มรอบสนาม ได้ลองกันทุกโค้ง จากทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมา ผนวกกับพละกำลังของเครื่องยนต์ที่ได้จาก เครื่องยนต์เบนซินบล็อก แบบวี 8 สูบ มาพร้อมเทอร์โบคู่ และอินเตอร์คูลเลอร์ ปริมาตรกระบอกสูบ 3,982 ซีซี เป็นเครื่องจัวเดียวกันทั้ง GT C และ GT R เพียงแต่เจ้าตัว GT R จะปรับจูนมาให้แรงกว่าเล็กน้อย

โดย ตัว GT C แรงม้าสูงสุด อยู่ที่ 557 แรงท้า ที่ 5,750-6,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร ที่ 2,100 – 5,500 รอบ/นาที ส่วน GT R เรียกม้าออกมาได้ 585 ตัว ที่ 6,250 และแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ที่ 2,100 – 5,500 รอบ/นาที

ม้าเหนือกว่า ความแรงก็ย่อมเหนือกว่า โดยอัตราเร่ง 0 -100 กม. /ชม. ในตัว GT C ใช้เวลาไป 3.7 วินาที ความเร็วปลายสุดที่ 316 กม./ชม. ส่วน GT R ใช้เวลาเพียง 3.6 วินาที ความเร็วปลายอยู่ที่ 318 กม./ชม. ซึ่งในช่วงทางตรงความเร็วที่ได้เฉียด 200 กม./ชม. เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามความรู้สึกของทั้งสองรุ่นนี้ ไม่ได้แตกต่างกันจนเห็นได้ชัดนัก อารมณ์ของการขับขี่ ใกล้เคียงกับรถแข่งซีซี. สูงๆ ที่เราเคยได้สัมผัสมา แต่การขับขี่และการใช้งานของรถถูกออกแบบให้สามารถขับขี่ได้ง่ายกว่า มั่นใจกว่า ช่วงล่างไม่ถึงกับกระด้างนักหรือนุ่มนวลนัก ตามรูปแบบของรถสปอร์ต ทว่าไว้ใจได้ในเรื่องของการเกาะถนน หลายโค้งที่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว หรือ ESP ทำงาน ยิ่งช่วยให้แต่ละโค้งมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT DCT 7G พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์  Steering -wheel Gearshift Paddles ใช้งานง่ายทั้งแพดเดิ้ลชิพ และในโหมดอัตโนมัติ ที่เมื่อเหยียบเบรกลดความเร็วจะมีการลดเกียร์ลงอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกเหมือนขับเกียร์ธรรมดา

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ช่วยเสริมประสบการณ์การขับขี่ในรูปแบบที่ แอดวานซ์มากยิ่งขึ้น ความเข้าใจในเรื่องของการขับขี่สไตล์เรซซิ่ง การกุมพวงมาลัย การเดินคันเร่ง และการใช้สายตามองหาจุดเอเป็ค ทั้งในจุดที่เป็นโค้งแรก และโค้งที่ต่อเนื่อง นั่นถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเสริมทักษะในการขับแข่ง บนแทร็คทางเรียบที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของเมืองไทย กับรถ Mercedes-AMG ที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดยนตรกรรมระดับหัวแถว