SUZUKI ALL NEW CARRY เจนเนอเรชั่นที่ 2

SUZUKI ALL NEW CARRY เจนเนอเรชั่นที่ 2 กระบะทำมาหากินแห่งยุค แม่ค้าครองเมือง

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมต้องจ่อหัวว่าเป็นยุคของ แม่ค้าครองเมือง ด้วยพิษของเศรษฐกิจทุกวันนี้มีเรื่องให้มนุษย์เงินเดือนต้องตัดสินใจหันหลังให้กับงานประจำ เข้าสู่สังคมของพ่อค้าแม่ขาย หรือไม่ก็เดินหน้าลุยธุรกิจส่วนตัวซึ่งอาชีพมาแรง และผุดขึ้นมาในสังคมไทยเราไม่น้อย นั้นเกี่ยวข้องกับการขนส่ง การลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ต้องคุ้มค่า รถกระบะที่ตอบโจทก์ของการขนส่งขนาดเล็กปัจจุบันมีให้เลือกไม่มากยี่ห้อนัก แต่งานนี้เราจะขอพูดถึงกระบะเล็กตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย SUZUKI นั่นก็คือ SUZUKI ALL NEW CARRY เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งบทพิสูจน์เบื้องต้นที่เรามีโอกาสได้ลองขับกันนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับท่านที่กำลังมองหาพาหนะที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณอยู่

แนวคิด CARRY YOUR DREAM เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน

แนวคิดที่ดูเหมาะกับคนที่ต้องการมีอาชีพที่อิสระ แต่ CARRY จะเหมาะกับคุณหรือไม่ ต้องลองพิจารณาดู เริ่มต้นกันที่การออกแบบใหม่ที่เน้นเรื่องของพื้นที่ใช้สอย และความคล่องตัวในการเดินทางเป็นหลัก กับรูปแบบของการย้ายเครื่องยนต์จากรุ่นเดิมที่วางอยู่ด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหน้ามาไว้ใต้เบาะ สไตล์รถตู้ วางตามยาวและเปลี่ยนจากขับหน้ามาเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง มีเพลากลางและเฟืองท้าย ซึ่งเป็นรูปแบบของกระบะบรรทุกที่รับภาระหนัก และให้ความทนทานในการใช้งานมากกว่ารถขับเคลื่อนล้อหน้า

ข้อดีอีกอย่างของการจัดวางเครื่องยนต์ลักษณะนี้ก็คือได้พื้นที่ของห้องโดยสาร หรือว่าบริเวณหัวเก๋ง เพิ่มมากขึ้นในขณะที่ ไม่ไปเบียดเบียนความยาวของหน้ารถ และขนาดของกระบะบรรทุก แน่นอนครับว่านี่คือจุดเด่นที่สำคัญ โดยเฉพาะสัมผัสแรกของการขึ้นนั่งในห้องโดยสาร สบายกว่าตัวเก่า หรือรถกระบะในลักษณะเดียวกัน ภายในดูเรียบง่ายเน้นการใช้งาน โดยออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยโทนสีเทาดำ ท่วงท่าในการขับขี่สบายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากว่าในรุ่นนี้ เบาะนั่งสามารถปรับเลื่อนเข้าออกได้ตามสรีระของผู้ขับ ไม่ต้องหาหมอนมาหนุนกันอีกต่อไป

มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงครบ โดยเฉพาะเครื่องเสียงงานนี้ดูโดดเด่น เพราะให้พลังเสียงที่ดีเกินกว่าจะเป็ยนถขนของ มีการเพิ่มพื้นที่และช่องเก็บของ ที่วางแก้วหน้าช่องแอร์ เป่าให้น้ำดื่มเย็นอยู่ตลอดเวลา และหลายคนคาดไม่ถึงก็คือเรื่องพวงมาลัยพวงมาลัยแม้เป็นสไตลรถตู้ไม่สามารถปรับระดับได้ แต่งานนี้ใช้เพสชาเวอร์เป็นไฟฟ้ามาเป็นตัวช่วยลดแรงในการหมุนพวงมาลัย แถมยังปรับระดับความหนักของพวงมาลัยได้ตามความเร็วรถให้เหมาะสมกับการบังคับพวงมาลัยไม่หนักหรือเบาเกินไปอีกด้วย

กระบะเรียบ เปิดข้าง พื้นต่ำ ขนง่ายแล้วจะเอาอะไรอีก

ความโดดเด่นของSUZUKI ALL NEW CARRY เจนเนอเรชั่นที่ 2 ยังมีในส่วนของพื้นที่กระบะบรรทุก สามารถลุยงานได้อย่างเต็มความสามารถ เนื่องจากออกแบบมาให้เป็นกระบะพื้นเรียบไม่ติดซุ้มล้อเหมือนกระบะตอนเดียวทั่วไป แถมขอบกระบะสามารถเปิดบานพับลงมาได้ครบทั้งสามด้าน ซึ่งขอบล่างของท้ายกระบะมีความสูงจากพื้นถนนเพียง750มม. (ลดลงจากรุ่นก่อนหน้านี้55มม.) สามารถยกของขึ้น/ลงได้สะดวกงานนี้แม้เป็นสตรีก็ไม่ต้องง้อหนุ่มๆ อีกต่อไป ส่วนตัวกระบะมีความยาว2,565มม. (มากกว่าเดิมถึง365มม.)และความกว้าง1,660มม. (มากกว่าเดิม75มม.) ไม่ต้องบอกก็รูว่าขนของที่มีขนาดใหญ่ และเยอะกว่าเดิมแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของหัวเก๋งที่สั้นก็มีจุดเสี่ยงสำคัญเช่นเดียวกับรถตู้ทั่วไป หลายคนอาจพะวงในเรื่องของความปลอดภัยในกรณีที่เกิดการชนด้านหน้า ตัวถังที่จะมาช่วยในเรื่องของการซับแรงกระแทกจะไม่เยอะเหมือนรถที่วางเครื่องด้านหน้า เมื่อเราพอรู้จุดที่ทำให้เราอาจเกิดอันตราย ก็ขอให้ปรับพฤติกรรมการขับกันซะใหม่ คือรถใช้งาน ก็ควรต้องใช้ความเร็วที่เหมาะสมปลอดภัย ไม่ขับจี้คันหน้า และเผื่อระยะเบรกเอาไว้พอสมควร เท่าที่จุดบอดก็กลายเป็จุดเด่นที่เชื่อว่าด้านหน้าที่สั้น กับเบาะที่สูงทำให้เรามองเห็นทัศนวิสัยในการขับขี่ได้ดีกว่ารถกระบะ การกะระยะ และการเลี้ยวในที่แคบก็เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะเจ้าพ่อตลาดนัดทั้งหลายที่ต้องอาศัยการขับซ่อกแซ่กในพื้นที่จำกัด          

เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ยกมาจาก ERTIGA

ขุมพลังเป็นสิ่งที่เชื่อว่าหลายคนกังวลเนื่องจากเรามักจะติดภาพรถกระบะบรรทุกที่มีพละกำลังมากๆ ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ คงไม่เถียงครับว่าเครื่องยนต์ดีเซลนั้นให้พลังในการฉุดลาก หรือที่เราเรียกกันว่า “ทอร์ค” นั้นมหาศาลกว่า ซึ่ง SUZUKI ALL NEW CARRY เจนเนอเรชั่นที่ 2 นี้เขาก็คงไม่กล้าไปต่อกรกับแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร เขาถึงได้ตั้งน้ำหนักบรรทุกสูงสุดเอาไว้ที่ 945 กก.เท่านั้น ในขณะที่กระบะบรรทุกทั่วไปพิกัด 1 ตัน หรือ 1,000 กก. แต่ถ้าจับไปแต่งเพิ่มขีดความสามารถแล้วบ้านเราก็บรรทุกกันเกินว่าพิกัดไปมากกว่าสองเท่าอยู่แล้ว

เครื่องยนต์เบนซิน1.5ลิตร ยกมาจาก ERTIGAให้กำลังสูงสุด97แรงม้า ที่ 5,600รตน.แรงบิดสูงสุด13.8กก.-. หรือ ราว 136 นิวตันเมตร ที่4,400รตน. ผสานเข้ากับระบบส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา5จังหวะ เทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้มีกำลัง92แรงม้ ที่ 5,750รตน. แรงบิดสูงสุด13.กก.-. หรือ 128 นิวตันเมตร ที่ 4,500รตน. เท่านั้น อัตราทดเฟืองท้ายที่ใช้อยู่ที่ 4.875 ต่อ 1 ก็จะเน้นในเรื่องของกำลังในการบรรทุกซักหน่อย

เครื่องยนต์ถูกจับว่างยาว ทำองศาเอียงเพื่อให้หลบส่วนสูงของตัวเครื่องเนื่องจากต้องวางเอาไว้ใต้เบาะนั่งคนขับ มิเช่นนั้นแล้วตำแหน่งนั่งจะสูงจนคนขับหัวชนหลังคา แต่แม้ตัวเครื่องจะเอียง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของอ่างน้ำมันเครื่อง งานนี้เขาได้มีการดีไซน์ห้องแคร้งค์ หรือว่าอ่างน้ำมันเครื่องใหม่ให้เหมาะสมกับองศาวเครื่องที่วางเอียง ซึ่งถ้าใช้แคร้งค์เดิมก็อาจจะทำให้น้ำมันเครื่องที่จะวิดมาหล่อลื่นส่วนต่างๆ ที่เคลื่อนไหวจะไม่สมบูรณ์ทั่วถึงนั่นเอง

บรรทุกราว 200 กก.ยังวิ่งฉิวตัวปลิว

ผมมีโอกาสขับรถบรรทุกเกยร์ธรรมดา มาพอสมควร นับรวมรถยนต์เกียร์ธรรมดา หลายๆ ยี่ห้อด้วยก็ได้ เมื่อเทียบกับ CARRY ใหม่แล้วต้องบอกว่า CARRY ใหม่อยู่ในระดับหัวแถวของการใช้งานเกียร์ธรรมดาที่ค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะความนุ่มนวลในการปล่อยคลัทช์ และการออกตัว แม้อาจต้องใช้คันเร่งมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็คุมคลัทช์ได้ง่าย ลากรอบในเกียร์ 1 ได้ยาวหน่อยเนื่องจาก อัตราทดค่อนข้างห่างจากเกียร์ 2 ก็เป็นปรกติที่จะดีไซน์ออกมาให้ออกตัวในช่วงบรรทุกของหนักไปก่อน จากนั้นรถลอยตัว แล้วค่อนสับเกีร์ 2 เกียร์ 3 ตามลำดับ ตำแหน่งโอเวอร์ไดรฟ์ทอยู่ที่เกียร์ 5 ก็จะช่วยเรื่องของความเร็ว และความประหยัดได้ตามลักษณะของรถ

สำหรับการทดสอบบรรทุกพืชผลทางการเกษตร และอื่นๆ น้ำหนักราว 200 กก. ระยะทางในการทดสอบไม่ไกลมากนักพอให้ได้สัมผัส และใช้งาน ถ้าพูดถึงในด้านการขับขี่เครื่องยนต์บล็อกนี้เป็นที่ยอมรับตั้งแต่ถูกนำมาวางเอาไว้ใน ERTIGA ใหม่แล้ว และใน CARRY เองก็ไม่ผิดหวังเนื่องจาก ไม่รู้สึกว่าการขับขี่อืด หรือช้า โดยเฉพะาช่วงไฮเวย์ที่ลองทำความเร็ว หลายคนไปกันแบบแตะขอบความเร็วตามกฎหมายกำหนดได้อย่างไม่ยากเย็น

ช่วงล่างกับรูปแบบวางแหนบเหนือเพลา ถ้าวิ่งตัวเปล่าต้องบอกว่าออกอาการร่อนให้เห็นตั้งแต่ช่วงความเร็วที่ 80 กม./ชม. แต่อย่างลืมว่า CARRY เป็นรถที่เน้นการบรรทุก การเซ็ตช่วงล่างจึงต้องเผื่อเรื่องของน้ำหนักบรรทุกมาไว้อยู้แล้วจะให้วิ่งนิ่ง ช่วงล่างนิ่มนวลในความติดของเราอาจต้องถ่วงกันถึง 500 กก. น่าจะกำลังดี ท้ายไม่เบา เข้าโค้งแรงๆ เอาอยู่แน่นอน

สรุปส่งท้าย  CARRY เจนเนอเรชั่นที่ 2 มาพร้อมกับราคาค่าตัว 385,000 บาท คุ้มค่าสำหรับกิจการของทุกท่านอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะเพิ่มศักยภาพในการใช้งานที่เหนือกว่าอาจต้องลงทุนเพิ่ม ซึ่งก็แล้วแต่ลักษณะการใช้งานของทุกท่านอันนี้ข้าน้อยไม่ขอชีแนะก็แล้วกันครับ