TOYOTA C-HR ไฮบริด พิชิตโค้งเมืองเหนือ พิสูจน์ช่วงล่างที่นุ่มและหนึบ โดยโตโยต้าเองให้ความสำคัญทั้งเรื่องของการออกแบบ และการนำเทคโนโลยีต่างๆ ใส่เข้าไปเพื่อให้เป็นรถที่โดดเด่น และมีประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของนวัตกรรมโครงสร้างใหม่ TNGA ตัวถังใหม่ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง รวมถึงการออกแบบห้องโดยสาร เพิ่มทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้กว้างขึ้น ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ (double wishbone suspension)ไ
Toyota Safety Sense ระบบความปลอดภัย ที่รวบรวมเอาไว้ครบครัน อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (pre-collision system) ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ (dynamic radar cruise control) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (automatic high beams) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (lane departure alert with steering assist) และ Toyota T-Connect Telematics ระบบที่เชื่อมต่อผู้ขับขี่และรถยนต์ ผ่าน smart phone และ apple watch พร้อมทั้งเครือข่ายศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ เพื่อรับข้อมูลและความช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทาง T-Connect Telematics บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์และช่วยค้นหาพิกัดในกรณีที่รถถูกโจรกรรม สัญญาณ wi-fi ในรถยนต์ ฯลฯ คำว่า “C-HR” หมายถึง “Coupe High Rider” ซึ่งโตโยต้า ก็วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เอาไว้ในเซ็กชั่นของ ซับคอมแพ็คเอสยูวี ที่มีความทันสมัย รูปทรงโดดเด่นมีสไตล์ โดยจะเน้นในรุ่นที่ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ซึ่งตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งก็คือเครื่องยนต์ไฮบริด ที่มีการปรับปรุงระบบไฮบริดใหม่จากเดิน เจนเนอเรชั่นที่ 3 มาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ที่ถือว่าลงตัวตัว และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น ส่วนสำคัญอีกอย่างก็คือได้มีการพัฒนาแบตเตอรี่ไฮบริดใหม่ โดยออกแบบให้มีขนาดเล็กลง แต่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น ด้วยการย้ายตำแหน่งของแบตเตอรี่ใหม่ ทำให้การระบายความร้อนได้ดีกว่าเจนเนอเรชั่นเดิม
โดยข้อมูลจำเพาะของเครื่องยนต์ไฮบริดก็คือจะใช้ชื่อรหัส 2ZR-FXE แถวเรียง 4 สูบดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 16 วาล์ว พร้อมระบบ Dual VVT-i ขนาดความจุ 1,798 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชักอยู่ที่ 80. x 88.3 มม. อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 13.01 หัวฉีดเป็นแบบ EFI รองรับการใช้น้ำมันพลังงานทางเลือกสูงสุดถึง E20 เรียกแรงม้าออกมาใช้งานได้ 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 600 โวลต์ ส่งต่อกำลังให้เครื่องยนต์ที่ 53 กิโลวัตต์ที่แรงบิด 163 นิวตันเมตร พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT เราคงไม่ต้องพูดถึงการทำงานของระบบไฮบริด รวมไปถึงจุดเด่น ซึ่งในรถยนต์หลายรุ่นของโตโยต้านั้นมีการพัฒนา และให้ความสำคัญกับระบบไฮบริดมาโดยตลอด ในรุ่นนี้จุดเด่นที่เห็นได้อย่าชัดเจนของเครื่องยนต์ไฮบริดก็คือ การชาร์จไฟเข้าไปเก็บที่ได้มาจากพลังงานเหลือใช้นั้น ใช้เวลาในการชาร์จน้อยลง ข้อดีก็คือการใช้พลังงานไฟฟ้าสามารถทำได้เร็วขึ้น นานขึ้น ประสิทธิภาพในการประยัดน้ำมันเชื้อเพลิงก็มากยิ่งขึ้นไปด้วย ซึ่งในขณะที่วิ่งอยู่ช่วงความเร็วต่ำนั้นก็สามารถกดปุ่ม ระบบ EV-Drive ซึ่งจะใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว สำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งในโหมดของการทำงานด้วยระบบไฟฟ้านี้ ก็จะช่วยในเรื่องของความประหยัดน้ำมัน และเรื่องของการปล่อยพิษต่ำกว่าการทำงานในโหมดอื่นๆ ซึ่งถ้าเราพูดถึงตัวเลขของความประหยัด เปรียบเทียบระหว่าง รถ TOYOTA C-HR ไฮบริด 2 คัน ที่ ทำการทดสอบสำหรับเส้นทาง ลำปาง-น่าน คันหนึ่งใช้โหมดปรกติไม่ได้ใช้ โหมด EV-Drive เลย อัตราสิ้นเปลืองที่โชว์ให้เห็นบนคอนซัมชั่นหน้าปัดอยู่ที่ 21 กม./ลิตร ส่วนในรุ่นที่ใช้โหมด EV-Drive ช่วยในช่วงความเร็วต่ำนั้นจะสามารถทำตัวเลขความประหยัดได้ถึง 26 กม./ลิตรทีเดียว นอกเหนือจากความโดดเด่นของเครื่องยนต์ ไฮบริดแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างที่เราได้ทดสอบกันตลอดการเดินทางก็คือเรื่องของ แฮนด์ลิ่ง ช่วงล่าง ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่ TOYOTA C-HR ทำได้ ช่วงล่างที่ออกแบบมาให้เป็นแพลทฟอร์มที่โตโยต้าบอกว่าลงตัว และมีใช้อยู่ในหลายรุ่น ก็คือเทคโนโลยี TNGA ระบบรองรับน้ำหนักด้านหน้า เป็นอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็น ดับเบิ้ลวิชโบน เซ็ตช่วงล่างเน้นไปทางนิ่มนวล ไม่ได้ออกแนวสปอร์ต เพราะฉะนั้น การเก็บรายละเอียดบนถนนที่ขรุขระ ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี และน่าประทับใน ในขณะที่พวงมาลัยก็หน่วงมืออยู่ในระดับที่ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป ในการเข้าโค้งแรงๆ เป็นธรรมดาที่จะมีการการยวบย้วนให้เห็นบ้าง แต่ทุกโค้งของการเดินทางบนเส้นทาง ลำปาง-น่าน ก็ไม่ได้สร้างความลำบาก หรือเป็นอุปสรรคใหญ่โตนักเลย
การเข้าใจถึงลักษณะการออกแบบตัวรถนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะเห็นว่า TOYOTA C-HR มีความครบเครื่องทั้งเรื่องของเทคโนโลยี ความประหยัด ความปลอดภัย และการใช้งานที่หลากหลาย เน้นความนุ่มนวล การเดินทางที่สะดวกสบาย การใช้ความเร็วที่พอเหมาะ และการเข้าโค้งที่ความเร็วสมเหตุสมผล จะช่วยให้การขับรถมีความสุข สนุกและปลอดภัย ซึ่งคงไม่ได้หมายความถึง TOYOTA C-HR เพียงรุ่นเดียว ไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นไหน ช่วงล่างดีอย่างไร หรือค่าตัวสูงจนเอื้อมไม่ถึงก็ต้องมีข้อจำกัดของรถรุ่นนั้นๆ เช่นเดียวกัน